ได้เวลา Time Out
เช็กลิสต์ 7 สัญญาณบ่งบอกว่าคุณเป็นผู้ชายบ้างาน
ในยุคที่การแข่งขันสูง ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะเร่งรีบไปหมด จึงทำให้คุณไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าเป็นคนบ้างาน (Workaholic) การทำงานดูคล้ายจะเป็นการแข่งขันกับเวลาอยู่เสมอ อีกทั้งในปัจจุบันเทคโนโลยีและดิจิทัลถูกพัฒนาจนเกือบจะเข้ามาแทนแรงงานอย่างเต็มตัวแล้ว ยิ่งเร่งให้คุณเป็นผู้ชายบ้างานไปในทันที
ซึ่งการที่คุณบ้างานจนเกินขีดความสามารถ มักจะส่งผลร้ายกับตัวคุณเสมอ หากคุณกำลังเถียงกับตัวเองอยู่ว่าผมไม่ได้บ้างาน ผมแค่เป็นผู้ชายขยัน Thomas มีเช็กลิสต์มาให้ลองทำ ถ้าคุณค้นพบตัวเองเกิน 5 ข้อ แสดงว่าคุณน่ะเป็นผู้ชายบ้างานแล้วล่ะ
แท้จริงแล้วคุณขยันหรือแค่บ้างาน?
- มาก่อนใครแต่อยู่รอปิดออฟฟิศประจำ ความบ้างานสั่งให้คุณมาก่อนเวลา แล้วกลับเป็นคนสุดท้ายเพื่อให้ได้มีเวลาในการทำงานมากขึ้น ซึ่งการกระทำนั้นไม่ได้แปลว่าคุณเป็นคนขยัน แต่คุณกำลังจะแปลงร่างเป็นผู้ชายบ้างาน
- จ้องตากับจอระหว่างกินข้าว ไม่ว่าจะเป็นการกินข้าวเช้า กลางวัน หรือเย็น คนบ้างานมักติดอยู่กับคอมพิวเตอร์เสมอ เพราะกังวลว่างานจะไม่เสร็จ
- งานประจำทำงาน งานอดิเรกก็ทำงาน ทุกคนมักมีงานอดิเรกเป็นของตัวเอง จะมีสาระหรือไม่มีสาระก็ถือเป็นงานอดิเรก หากคุณบ้างานจนซี้กับคอมพิวเตอร์ ถึงขั้นมีงานอดิเรกเป็นการทำงานด้วยแล้วล่ะก็ ปัญหาใหญ่แล้วล่ะ
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียตลอดเวลา ในระหว่างวันคุณมักจะสมองตื้อ อ่อนเพลีย หมดแรงอยู่เสมอ นั่นเป็นผลจากการที่คุณเป็นผู้ชายบ้างาน ไม่มีเวลาใช้ชีวิตอย่างลูกผู้ชาย เอาแต่อุทิศชีวิตให้กับการทำงาน
- จิตใจกระสับกระส่าย กระวนกระวาย เมื่อห่างงาน ผู้ชายบ้างานมักพกคอมพิวเตอร์คู่ใจเสมอไม่ว่าจะไปที่ใด จะพักร้อน ฮันนีมูน ไปทะเล ขึ้นเขา คุณมักจะอยากทำงานหรือแก้งานอยู่ทุกขณะ เผลอ ๆ นอนกอดคอมพิวเตอร์ด้วย
- เครียด กดดันจนคุณค่าของงานจางหาย การที่คุณเป็นผู้ชายบ้างานมักทำให้ต้องกดดันตัวเองอยู่เสมอ เมื่อคุณกดดันตัวเองจนเกิดความเครียด อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของคุณด้อยลง การบ้างานจึงทำให้คุณค่าของผลงานที่ออกมามักไม่เป็นตามที่คุณคาดการณ์ไว้
- หลอด Relationship ติดลบ คุณอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าคุณเป็นคนบ้างาน เพราะฉะนั้นลองนึกดูว่านัดแฟนไปดินเนอร์แล้วเลื่อนมากี่ครั้ง ล่าสุดที่ไป Hangout กับเพื่อนกี่เดือนมาแล้ว คุณควรรู้ไว้ว่ายิ่งบ้างานมากเท่าไหร่ ความสัมพันธ์กับคนรอบตัวยิ่งพังทลายลงเท่านั้น
โรคบ้างาน (Workaholic) แก้ไม่ยาก หากคุณกล้าพอ
- Work–life balance สิ่งแรกที่ควรทำคือแบ่งเวลาให้ถูก ควรมีทั้งเวลาทำงานและเวลาพัก ไม่ใช่เพียงแต่พักกายเท่านั้น แต่ต้องพักสมองด้วย หากคุณยังฝืนบ้างานอยู่ ในอนาคตอาจเป็นโรคเครียด ต้องไปหาหมอรักษากันให้จ้าละหวั่น เงินเดือนจากการที่เป็นผู้ชายบ้างานก็เอามาลงกับค่ารักษาพยาบาลจนหมดนั่นแหละ
- เปลี่ยน Mindset หลายคนมีความคิดว่ามาก่อนกลับทีหลังแปลว่าขยัน ป่าวเลย คุณน่ะบ้างาน การมาก่อนกลับทีหลังอาจแปลได้อีกนัยหนึ่งว่าคุณทำงานไม่เสร็จตามเวลา จึงต้องเพิ่มเวลาส่วนตัวเข้ามาเพื่อทำงาน
- พักผ่อนบ้าง เว้นที่ว่างให้หายใจ หยุดการหักโหม พักการบ้างานของคุณไว้บ้าง ควรลุกเดินไปไหนมาไหนสักหน่อย ชงกาแฟ ยืดเส้นยืดสาย เดินทักทายโต๊ะรอบข้าง หรือนั่งทำสมาธิ หายใจเข้าลึก ๆ ให้ร่างกายได้พักผ่อนบ้าง
- ทำงานแค่ที่ออฟฟิศ บ้านเอาไว้นอน คุณสามารถยุติการเป็นผู้ชายบ้างานได้เพียงตระหนักอยู่เสมอว่าบ้านคือสถานที่พักผ่อน เมื่อถึงบ้านคือต้องพักผ่อน ไม่ใช่นำงานกลับมาทำที่บ้าน ยกเว้นแต่เป็นงานด่วนที่ฉุกเฉินจริง ๆ
บ้างานไม่ได้แปลว่าขยัน เพราะฉะนั้นควรแบ่งเวลาให้ถูก ทำงานคือทำงาน พักผ่อนคือพักผ่อน หากคุณเป็นผู้ชายบ้างาน หักโหมทำงานจนหมดแรง จะทำให้ประสิทธิภาพงานของคุณลดลง แถมความสัมพันธ์กับคนรอบข้างยังติดลบอีกด้วย ทางที่ดี Work-life Balance สิดีที่สุด เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีของคุณ