ศึกลำโพงบลูทูธจากแบรนด์เครื่องเสียงระดับ High-End อัปเดตปี 2024
เมื่อชีวิตติดเสียงเพลง จึงต้องเลือกลำโพงบลูทูธที่เสียงดีเยี่ยมพร้อมกับคุณภาพและฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ แต่ศึกใหญ่ของวงการเครื่องเสียงระดับ High-End ที่มองไปทางไหนก็มีตัวเลือกมากมายเต็มไปหมดแล้วแบบนี้… ลำโพงบลูทูธตัวไหนจะเข้าเส้นชัยสำหรับคุณ ตามไปเทียบสเปกกันเลย
ท้าชน 5 ลำโพงบลูทูธแบรนด์ดัง
เสียงดีตามคาด ดีไซน์สวยมีเทส
1. ลำโพงบลูทูธ Klipsch Music City Series
เปิดท้าชิงลำโพงบลูทูธตัวแรกกับ Klipsch (คลิปช์) แบรนด์เครื่องเสียงระดับ High-End จากสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1946 โดย Paul W. Klipsch ซึ่งสินค้าเรือธงของแบรนด์ก็ต้องเป็น ‘ลำโพง’ อย่างแน่นอน เรียกได้ว่ายอดฮิตถึงขั้นที่ใคร ๆ ก็ต้องเล็งเป็นอันดับแรกหากคิดจะมีลำโพงบลูทูธสักตัวติดบ้านเอาไว้ เพราะมีทั้งความคลาสสิกผสมผสานกับความทันสมัยด้วยเทคโนโลยีการเชื่อมต่อต่าง ๆ ในการใช้งาน ฟังก์ชันและคุณภาพเสียงก็ขึ้นชื่อไม่เป็นรองใคร แถมยังสะดุดตาด้วยดีไซน์สุดเท่อีกด้วย
และตอนนี้ลำโพงบลูทูธจากแบรนด์ Klipsch ก็มีลำโพงซีรีส์ใหม่ออกมาอย่าง ‘Music City’ ประกอบด้วยรุ่น Klipsch Austin รุ่น Klipsch Nashville และรุ่น Klipsch Detroit โดยชื่อแต่ละรุ่นเป็นการนำชื่อเมืองที่มีชื่อเสียงในด้านดนตรีของสหรัฐอเมริกามาเป็นชื่อเพื่อแสดงถึงจุดเด่นของแต่ละรุ่นนั่นเอง
ลำโพงบลูทูธ Klipsch Austin
เริ่มต้นที่น้องเล็กสุดในซีรีส์นี้กับรุ่น Austin ขนาดอยู่ที่ 4.1 x 4.1 x 1.7 นิ้ว และน้ำหนักเบาสามารถพกพาได้สะดวกสบายประมาณ 397 กรัมเท่านั้น ดีไซน์โดดเด่นด้วยสายคาด Stretchy Strap ที่ตอบโจทย์การพกพาเพราะสามารถใช้คาดกับกระเป๋าหรือจักรยานได้สบาย ๆ เลย และถึงแม้จะเป็นน้องเล็กสุดแต่สเปกเสียงก็จัดเต็ม มาครบ ฟังสนุกไม่แพ้กัน กับสเปกเสียงที่ให้ไดรเวอร์ Woofer ขนาด 1.5 นิ้ว จำนวน 1 ตัว และ Passive Radiators จำนวน 2 ตัว กำลังขับ 10 วัตต์ ความดังสูงสุด 85 dB ด้านหลังมี Bass Reflex ช่วยลดความเพี้ยนของเสียง ทำให้ได้ภาพรวมของเสียงที่รู้สึกโปร่ง กว้าง แต่ยังคงเสียงเบสแน่นกำลังดี แบตเตอรี่ในตัวใช้งานได้ถึง 12 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด้วยพอร์ตเชื่อมต่อ USB C กันน้ำกันฝุ่น มาตรฐาน IP67 เชื่อมต่อได้ทั้ง Bluetooth 5.3 และ Stereo Mode ที่ Broadcast กับลำโพงบลูทูธในซีรีส์เดียวกันได้มากกว่า 10 ตัว มี Built-in ไมโครโฟนสามารถพูดคุยรับสายโทรศัพท์ได้สะดวกยิ่งขึ้น
ลำโพงบลูทูธ Klipsch Nashville
ต่อกันที่ลำโพงบลูทูธน้องคนกลางรุ่น Nashville ขนาดอยู่ที่ 3.1 x 7 x 3.2 นิ้ว มีน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม ถือว่ายังสามารถพกพาไปสถานที่ต่าง ๆ ได้อยู่ ดีไซน์หน้าตาคล้ายกับรุ่น Austin เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่า ในฝั่งสเปกเสียงที่เติมเพิ่มมาให้จากรุ่นเล็ก คือ ไดรเวอร์คู่แบบ Full Range ขนาด 2.25 นิ้ว ทำให้ขับเสียงออกได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังแบบ 360 องศา และยังมาพร้อม Passive Radiators แบบคู่ ขับเสียงเบสได้ลึกสะใจยิ่งขึ้น มีแบตเตอรี่ในตัวใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 24 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด้วยพอร์ตเชื่อมต่อ USB C มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP67 เชื่อมต่อได้ทั้ง Bluetooth 5.3 และ Stereo Pairing สามารถ Broadcast เชื่อมต่อเข้ากับลำโพงในซีรีส์ Music City และรุ่นอื่น ๆ ที่รองรับ Broadcast Mode ได้มากกว่า 10 ตัวแบบไร้สาย มี Built-in ไมโครโฟนสามารถพูดคุยรับสายโทรศัพท์ได้เช่นเดียวกัน
ลำโพงบลูทูธ Klipsch Detroit
ถึงคิวพี่คนโตของ Music City Series อย่างลำโพงบลูทูธรุ่น Klipsch Detroit กันแล้ว หากพูดถึงด้านดีไซน์ก็คงไม่แตกต่างกับรุ่นน้องคนกลางไปเสียเท่าไหร่กับตะแกรงเหล็กหน้าลำโพงสีดำทั้งตัว โดดเด่นด้วยโลโก้แบรนด์ตรงกลาง รอบตัวเป็นวัสดุซิลิโคน ขนาดอยู่ที่ 4.1 x 13.1 x 4.8 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 2.46 กิโลกรัม แม้จะเป็นพี่ใหญ่สุดในรุ่นแต่ก็ยังสามารถพกพาได้อยู่ ด้วยสายยางยืดที่หิ้วหรือสะพายไปไหนมาไหนก็สะดวกเช่นกัน ส่วนสเปกเสียงในไดรเวอร์ภายในเหมือนกับรุ่นอื่น ๆ ในซีรีส์ เพียงแต่มีไดรเวอร์เพิ่มขึ้นตามขนาดของลำโพง เป็นไดรเวอร์ Full Range 3 นิ้ว 2 ตัว และ Tweeter ขับเสียงสูง 1 นิ้ว คู่หน้าหลัง รวมถึง Passive Radiators (Force Cancelling) 3 นิ้ว 4 ตัว ลดแรงสั่นสะเทือนได้เป็นอย่างดี กำลังขับสูงสุดที่ 30 วัตต์ ให้เสียงเบสกระหึ่ม รายละเอียดครบ เสียงกลางและสูงมาครบ และเพิ่มแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนาน ฟังเพลงได้จุใจถึง 20 ชั่วโมงด้วยแบตเตอรี่ภายในตัว ชาร์จไวสูงสุด 18 วัตต์ แถมยังใช้เป็น Power Bank ในตัวได้อีกด้วย เชื่อมต่อได้ทั้ง Bluetooth 5.3 และ Stereo Mode ที่ Broadcast กับลำโพงบลูทูธในซีรีส์ Music City รุ่นคนเล็กและคนกลางพร้อมกันได้มากกว่า 10 กระจายเสียงผ่านสัญญาณ Mono ไม่สามารถใช้เป็น Stereo ได้ มี Built-in ไมโครโฟนสามารถพูดคุยหรือใช้ประชุมได้สบายเลย
ซึ่งทั้ง 3 รุ่นลำโพงบลูทูธจาก Klipsch Music City Series ยังสามารถปรับ EQ และควบคุมสั่งงานตัวลำโพงผ่านแอปพลิเคชัน Klipsch Connect ได้อีกด้วย
ราคาเริ่มต้น : Klipsch Austin 3,990 บาท
Klipsch Nashville 5,990 บาท
Klipsch Detroit 12,900 บาท
2. ลำโพงบลูทูธ B&O Beosound A5
หากจะนึกถึงแบรนด์ลำโพงบลูทูธดี ๆ สักตัว คงหนีไม่พ้น Bang & Olufsen หรือ B&O แบรนด์เครื่องเสียงระดับ High-End จากประเทศเดนมาร์ก เริ่มก่อตั้งในปี 1925 โดยวิศวกรอย่าง Peter Bang และ Svend Olufsen จุดเด่นที่ทำให้ B&O ยืนหนึ่งในวงการเครื่องเสียงเลยก็คือ การผสมผสานระหว่างดีไซน์ที่สวยงามและความดีเยี่ยมของคุณภาพเสียงที่หมัดต่อหมัดไม่แพ้ใคร ซึ่งวันนี้เราจะพูดถึงรุ่น ‘Beosound A5’ ที่อัปเกรดขึ้นมาจากรุ่น Beolit 20 มาในรูปลักษณ์ที่ดูมินิมอล เรียบง่าย ให้ความคลาสสิกกับวัสดุเกรดพรีเมียมไม้โอ๊คแท้และอะลูมิเนียม หุ้มปิดภายนอกด้วยตะแกรงผ้าตาข่าย มีสี Nordic Weave สี Dark Oak และสี Spaced Aluminium ออกแบบร่วมกับ GamFratesi แบบ Modular Design สามารถถอดบางชิ้นส่วนได้หากต้องการเปลี่ยน อัปเกรด ตกแต่ง หรือซ่อม โดยไม่ต้องเปลี่ยนลำโพงตัวใหม่ เรียกว่าใช้งาน Beosound A5 ตัวเดิมได้ยาว ๆ เลย ตัวนี้มีน้ำหนัก 3.7 กิโลกรัม ยังสามารถหิ้วได้ในระยะใกล้ ๆ หรือภายในบ้านได้
ในส่วนของสเปกเสียงให้ไดรเวอร์มา 4 ตัว แบ่งเป็น Woofer 5.25 นิ้ว 1 ตัว Full Range 2 นิ้ว 2 ตัว และ Tweeter 0.8 นิ้ว 1 ตัว พร้อมแอมป์ Class D คุณภาพสูง กำลังขับรวม 280 วัตต์ ความดังสูงสุด 101dB SPL ให้เสียงรอบทิศทาง 360 องศา นอกจากนี้ยังใส่เทคโนโลยี Beamforming ช่วยควบคุมเสียงได้แม่นยำ และเทคโนโลยี RoomSense ปรับการเล่นให้เหมาะกับพื้นที่ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ลำโพงบลูทูธรุ่นนี้ให้เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของ B&O ที่จะใส เคลียร์ ชัด เสียงเบสทรงพลัง ภาพรวมจะฟังสบายได้เพลิน ๆ เลย เหมาะสำหรับใช้งานในบ้านมากกว่าการพกพาไปไหนไกล ๆ และจะต้องระวังเรื่องการโดนน้ำ เพราะวัสดุเป็นไม้อาจเกิดอาการบวมได้แม้จะกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP65 ก็ตาม ส่วนของแบตเตอรี่ใช้งานได้นาน 12 ชั่วโมง ชาร์จผ่าน Type C ด้านบนใช้เป็นแท่นชาร์จสมาร์ตโฟนได้สบาย ๆ เลย ส่วนการเชื่อมต่อรองรับ Bluetooth 5.2 หรือจะเป็น Wi-fi ผ่านแอปพลิเคชัน B&O รองรับทั้ง AirPlay 2 Chromecast, Spotify Connect, Tidal Connect รวมถึง B&O Radio และ Deezer มาพร้อมกับ Stereo Mode เชื่อมต่อกับลำโพงบลูทูธ Beosound A5 อีกตัวได้ด้วย
ราคาเริ่มต้น : 47,900 บาท
3. ลำโพงบลูทูธ Devialet Mania Portable Speaker
โค่นไม่ลงจริง ๆ กับแบรนด์เครื่องเสียงระดับ High-End จากประเทศฝรั่งเศสอย่าง Devialet ที่โลดแล่นในด้านเครื่องเสียงไม่แพ้ใคร เนื่องจากเป็นบริษัทด้าน Acoustic Engineering ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2007 นำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยในด้านเสียงที่ยากจะเลียนแบบได้ตั้งแต่ Hardware กันเลยทีเดียว โดยหลายคนอาจจะคุ้นเคยกันมาก่อนแบบไม่รู้ตัว เพราะ Devialet ขึ้นแท่นเป็นลำโพงบลูทูธที่แพงที่สุดในโลกไปแล้วกับรุ่น Devialet Phantom I แต่รอบนี้เปิดตัวลำโพงบลูทูธรุ่นใหม่ในราคาสบายกระเป๋ากับรุ่น ‘Devialet Mania’ ลำโพงอัจฉริยะแบบพกพาตัวแรกของแบรนด์
ดีไซน์ของลำโพงบลูทูธรุ่นนี้มาในรูปทรงกลมพร้อมหูหิ้วด้านบนเหมาะแก่การพกพาได้อย่างสะดวกกับน้ำหนักเพียง 2.3 กิโลกรัม มีทั้งหมด 3 สีสุดหรูหราคือ ขาว ดำ และทอง (Opera De Paris) นอกจากนี้ยังมีสีที่เป็น Limited Edition อีกด้วย แต่มาตรฐานกันน้ำ IPX4 ป้องกันเพียงละอองน้ำ และไม่กันฝุ่น
ในส่วนสเปกเสียงจะเป็น Stereo 360 องศา ติดตั้งไดรเวอร์ทั้งหมด 6 ตัว เป็น Full Range ขนาด 25 วัตต์ ด้านหน้าและหลังรวมกัน 4 ตัว Woofer 38 วัตต์ 2 ตัว รวมกำลังขับ 176 วัตต์ ตอบสนองช่วงความถี่เสียง 30 – 20,000 Hz ความดังระดับ 95 dB ให้เสียงโทนอุ่น เบสนุ่มลึก ส่วนเสียงกลางใสและเคลียร์ ซึ่งเราสามารถปรับ EQ เสียงเองได้ผ่านแอปพลิเคชัน Devialet การเชื่อมต่อรองรับ Bluetooth 5.0 หรือจะเป็น Wi-fi ผ่านแอปพลิเคชัน รองรับทั้ง AirPlay 2 และ Spotify Connect รองรับการใช้งานแบบ Multi Room Speaker ส่วนแบตเตอรี่ในตัวใช้งานได้นาน 10 ชั่วโมงติดต่อกัน สามารถชาร์จแบบไร้สายได้ (ขายแยกกับลำโพง)
ราคาเริ่มต้น : 33,990 บาท
4. ลำโพงบลูทูธ Sonos Move 2
มาถึงลำโพงบลูทูธ Sonos แบรนด์เครื่องเสียงชื่อดังจากอเมริกา ขึ้นชื่อเรื่องการออกแบบระบบเสียงสำหรับใช้ในบ้าน และถึงแม้จะเพิ่งก่อตั้งในปี 2002 โดย John MacFarlane, Craig Shelburne, Tom Cullen และ Trung Mai ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เป็นสองรองใคร เพราะโดดเด่นด้วยลำโพงบลูทูธที่เป็น Home Wireless System ใช้โปรแกรม Home Audio System ของ Sonos ช่วยให้ฟังเพลงได้ทั่วทั้งบ้านและรองรับการสั่งงานด้วยเสียง กับลำโพงบลูทูธรุ่น ‘Move 2’ ที่พัฒนาจากรุ่นเดิม Move เรียกได้ว่ายกระดับทุกมิติเลยทีเดียว ไม่ว่าจะทั้งด้านดีไซน์มาในทรงกระบอกสามารถพกพาแบบถือมือเดียวได้สบาย น้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัม และยังเพิ่มปุ่มควบคุมใหม่เป็นแถบสัมผัสเพื่อเลื่อนระดับเสียง มีทั้งหมด 3 สีคือ ดำ ขาว และเขียวมะกอก มาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP56 ในด้านสเปกเสียง มาพร้อมไดรเวอร์ 3 ตัว ได้แก่ Tweeter 2 ตัว ซ้ายและขวาให้เสียงแบบ Stereo พร้อม Woofer 1 ตัว ทั้งหมดอยู่ที่ด้านหน้าทำให้สามารถาวางชิดผนังได้เลย เสียงที่ได้จะเบสลึกและสะอาด
และยังมีฟังก์ชัน Trueplay ระบบจูนเสียงให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม ผ่านไมโครโฟนในตัวรับเสียงแล้วจะประมวลเสียงให้เหมาะสมกับสถานที่และสภาพเสียงขณะนั้น การเชื่อมต่อรองรับ Bluetooth 5.0 และ USB-C Port แบบ 15W, 5V/3A ส่วน WiFi 6 รองรับทั้ง 2.4 GHz/5 GHz พร้อมเชื่อมต่อ Apple AirPlay 2 ได้ ใน iOS รุ่น 11.4 ขึ้นไป หากเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชัน Sonos ก็เชื่อมกับ Spotify, Tidal, Apple Music และบริการเสียงอื่น ๆ ให้ได้เช่นกัน ส่วนแบตเตอรี่ในตัวเล่นได้นานถึง 24 ชั่วโมง สามารถชาร์จแบตเตอรี่ผ่านแท่นชาร์จที่มากับลำโพงบลูทูธได้เลย
ราคาเริ่มต้น : $499 หรือประมาณ 15,836 บาท
5. ลำโพงบลูทูธ Cotodama Lyric Speaker Box
ปิดท้ายศึกลำโพงบลูทูธด้วยแบรนด์ลำโพงชื่อดังจากแดนอาทิตย์อุทัยอย่างประเทศญี่ปุ่น กับ ‘Cotodama’ ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 ที่มีเอกลักษณ์และเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสินค้าที่แสดงเนื้อเพลง เพื่อเชื่อมต่ออารมณ์ทางดนตรีและผู้ฟังผ่านการแสดงเนื้อเพลงด้วยภาพ หรือเทคโนโลยี Lyric Sync ขึ้นเนื้อเพลงพร้อมกราฟิกได้แบบเรียลไทม์เจ้าแรกของโลก ซึ่งได้รับการยอมรับจากนานาชาติเป็นบริษัทแห่งแรกในเอเชียที่ได้รับรางวัลจาก SXSW accelerator และได้รับเลือกให้เข้าร่วม Abbey Road Red โปรแกรมพัฒนาเทคโนโลยีดนตรีชั้นนำของยุโรป และยังได้รับรางวัลการออกแบบอย่าง Red Dot Design Award และ Good Design Award อีกด้วย และลำโพงบลูทูธอย่างรุ่น ‘Lyric Speaker Box’ ก็เป็นอีกหนึ่งความโดดเด่นที่ใครเห็นก็ต้องสะดุดตาทั้งดีไซน์และราคาค่าตัวที่สูงอย่างน่าสนใจเลยทีเดียว มาเริ่มต้นกันที่ดีไซน์ของรุ่นนี้มีทั้งหมด 3 วัสดุระดับพรีเมียมคือ Stainless steel (SUS304) ไม้ Oakwood และ PC-ABS resin มีจอแสดงผลเนื้อเพลงอยู่ภายในตัวลำโพง เรียกได้ว่าทันสมัยในแบบมินิมอล ตั้งโชว์ในบ้านได้ไม่ซ้ำใครแน่นอน น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 5.2 กิโลกรัม ใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ไม่มีแบตเตอรี่ในตัวเวลาใช้งานต้องเสียบปลั๊กเท่านั้น
ในด้านสเปกเสียงก็หมดห่วงเลยเพราะได้ Tom’s Lab ผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงและลำโพงระดับ High-End มาดูแลเพื่อให้ได้เสียงคุณภาพ มีไดรเวอร์ 2 ตัว Woofer 3 นิ้ว 1 ตัว และ Tweeter 0.75 นิ้ว 1 ตัว แรงขับ 32 วัตต์ ตอบสนองความถี่ 60-20000 Hz ไฮไลต์คือการแสดงผลเนื้อเพลงที่จะใช้งานร่วมกับ Apple Music และ Spotify เป็นหลัก โดยแสดงเนื้อเพลงอัตโนมัติตรงตามจังหวะเพลง แถมยังรองรับภาษาไทยอีกด้วย เจ๋งมาก! ให้เสียงกลาง ๆ มีความแน่น ฟังสบายหู ให้รายละเอียดเสียงสูงได้ครบ เสียงเบสปานกลางมีความคลีนไม่ได้แน่นกระหึ่มหนักมาก
การควบคุมการเล่นเพลงต้องเชื่อมต่อผ่านสมาร์ตโฟนเท่านั้น ได้ทั้ง iOS และ Android โดยที่ตัวลำโพงมีปุ่มไว้เพื่อ เปิด/ปิดเครื่องอย่างเดียว ส่วนการเชื่อมต่อรองรับผ่าน WiFi เป็นหลัก รองรับการใช้งานร่วมกับ Google Home และสามารถเชื่อมต่อลำโพง 2 ตัวได้แบบ Lyric Group
ราคาเริ่มต้น : Military Silver 79,000 บาท
Karimoku (กรอบไม้) 119,000 บาท
Night Black ประมาณ 40,000 บาท
ถือว่าทั้ง 5 ลำโพงบลูทูธเหล่านี้ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเลยทีเดียว หากใครที่กำลังมองหาลำโพงบลูทูธคู่ใจอยู่สามารถเทียบสเปกที่ต้องการกันชัด ๆ กันได้ตามนี้เลย