Daft Punk ปิดตำนาน 28 ปี ร่วมย้อนประวัติ พร้อมชมหนังสั้นส่งท้าย
ข่าวช็อกวงการดนตรีอย่างมากเมื่อ Daft Punk (ดาฟต์พังก์) Thomas Bangalter และ Guy-Manuel de Homem-Christo คู่หูนักดนตรีชาวฝรั่งเศสแนว Techno dance ประกาศยุบวง! หลังร่วมงานด้วยกันมา 28 ปี ซึ่งตลอดเกือบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา พวกเขาสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ออกมาจนสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าพวกเขานั้นคือ “ตำนาน” วันนี้เราเลยจะพาแฟนเพลงทุกคนไปย้อนดูการเดินทางของ Daft Punk พร้อมชมภาพยนตร์สั้น Epilogue ส่งท้ายกันครับ
ไทม์ไลน์การเดินทางของ Daft Punk
Daft Punk ประกอบด้วยสมาชิกอย่าง Thomas Bangalter (โทมัส แบงกาลเตอร์) และ Guy-Manuel de Homem-Christo (กีย์ มานูเอล เดอ โฮเมม–คริสโต) ทั้งคู่เป็นเพื่อนซี้ที่รู้จักกันมาก่อนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม หรือประมาณอายุ 12 ปี
- เจอกันครั้งแรกในปี 1987 ณ เมือง Paris ประเทศฝรั่งเศส และได้ทำการตั้งวงดนตรีขึ้นมา มีชื่อว่า Darlin’ มีสมาชิกอีกคนคือ Laurent Brancowitz (ปัจจุบันเป็นมือกีตาร์วง Phoenix)
- ปี 1992 พวกเขาสร้างวงดนตรีแนว Indy Rock ขึ้นมาด้วยใจมุ่งมั่น แต่ถูก Dave Jennings นักวิจารณ์ดนตรีจากนิตยสารแห่งหนึ่งของอังกฤษ วิจารณ์ว่า A daft punk thrash หรือเป็นแนวเพลงเศษขยะ หลังจากนั้นพวกเขาจึงทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และกลับมาอีกครั้งในชื่อของ “Daft Punk”
- Daft Punk ถือกำเนิดขึ้นในปี 1993
- ปี 1997 Daft Punk เซ็นสัญญากับค่ายเพลงชื่อดัง Virgin Records ของ Richard Branson ซึ่งถือว่ามีชื่อเสียงในด้านการเฟ้นหาวงดนตรีหน้าใหม่ และได้ออกอัลบั้มชุดแรกชื่อ “Homework” ในวันที่ 25 มีนาคม 1997 มีผลตอบรับเป็นอย่างดีในเพลง Da Funk และ Around the World ทำให้ผลงานพุ่งทะยานขึ้น Chart Hot Dance Club Play chart อันดับ 1 บน Billboard
- ชุดสุดล้ำที่เหมือนหลุดมาจากภาพยนตร์ไซไฟนี้เป็นที่มาของภาพลักษณ์ Daft Punk กำเนิดขึ้นในปี 1999 พวกเขาเล่าว่า ไม่ได้ตั้งใจจะแต่งตัวเป็นหุ่นยนต์แบบนี้ แต่เหตุเกิดเพราะความบังเอิญตอนกำลังทำงานอยู่ในสตูดิโอ ตอนนั้นเป็นเวลา 9 นาฬิกา 9 นาที ในยามเช้าของวันที่ 9 กันยายน (เดือน 9) ปี 1999 “ทันใดนั้นเหมือนมันสว่างวาบขึ้นมา เราเกิดความตระหนักรู้ขึ้นมาในทันใดว่า ต่อจากนี้ไปพวกเราควรกลายเป็นหุ่นยนต์ และนี่แหละคือต้นกำเนิดของเรา”
- Daft Punk ปล่อยอัลบั้มชุดที่ 2 “Discovery” ในปี 2001 โดยมีอาจารย์ Leiji Matsumoto ทำ MV ให้ในเพลง One More Time, Aerodynamic, Digital Love และ Harder Better Faster Stronger เพลงเหล่านี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันทั้งหมด ซึ่งก็ได้รับความสำเร็จอีกเช่นเคย (มียอดขายมากกว่า6 ล้านชุด เลยทีเดียว)
ในขณะเดียวกันตั้งแต่ต้นปี 2001 Daft Punk ปรากฏตัวทั้งในคอนเสิร์ต มิวสิกวิดีโอ ปกนิตยสาร ทีวี รวมถึงสื่ออื่น ๆ ด้วยการสวมใส่หมวกหุ่นยนต์ และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครเคยได้เห็นโฉมหน้าของพวกเขาอย่างเป็นทางการอีกเลย - ปี 2005 Daft Punk ปล่อยอัลบั้มชุดที่ 3 “Human After All” กับค่าย Virgin Records เช่นเดิม และทุกเพลงในอัลบั้มนี้เป็นเพลงจุลนิยม (minimalism) ไม่มีการบีบตัว และการปลดปล่อย (tension/release) อย่างไรก็ตามเพลง Robot Rock และ Technologic ในอัลบั้มก็ติด Chart ในหลายประเทศ
Thomas Bangalter เคยให้สัมภาษณ์กับ Time ว่า “มันเป็นการเต้นรำไปมาระหว่างความเป็นมนุษย์กับเทคโนโลยี”
- ปี 2006 มีผลงานการสร้างภาพยนตร์เป็นของตัวเองในเรื่อง “Electroma” ซึ่งได้กำกับ เขียนบท และอำนวยการผลิตโดย Daft Punk เองทั้งหมด
- ปล่อยอัลบั้มแสดงสด “Alive 2007” ไลฟ์อัลบั้มครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้จัดทำ การบันทึกเกิดขึ้นในปี 2007 ระหว่าง ALIVE Tour โดยได้เลือกโชว์ที่ Palais omnisports de Paris-Bercy Arena ณ กรุงปารีส อัลบั้มชุดนี้กลายเป็นตำนานด้วยเหตุผลที่ว่าทุก track ล้วนเป็นเพลงระดับชาติที่แค่ฟังเวอร์ชันธรรมดาก็ว่าโหดแล้ว ยิ่งนำมามิกซ์ในช่วงขาขึ้นของพวกเขาแล้วยิ่งผลักให้อัลบั้มนี้ได้รับรางวัล Album of the year จากเวที Grammy
- ในปี 2010 Daft Punk ปรากฏตัวแสดงเป็น DJ ในภาพยนตร์เรื่อง Tron (2010) เพลง “Derezzed”
- Daft Punk ปล่อยอัลบั้มชุดสุดท้าย “Random Access Memories” ในปี 2013 และได้เซ็นสัญญากับ Columbia Records ภายใต้การดูแลของ Sony Music พร้อมออกซิงเกิลแรก “Get Lucky” ที่ได้ Pharrell Williams มา Featuring จนสามารถคว้าอันดับ 1 UK single ถึง 4 สัปดาห์ซ้อน แถมติด TOP 5 ของหลายประเทศทั่วโลก ถือเป็นประวัติศาสตร์ของ Daft Punk เลยก็ว่าได้ที่มีเพลงขึ้น Chart ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมา
นอกจากนี้ยังสามารถคว้ารางวัลของงาน Grammy Awards ได้ถึง 10 รางวัล และยังติดอันดับอัลบั้มที่ดีที่สุดในโลกปี 2013 ซึ่งอัลบั้มนี้สามารถจำหน่ายได้ถึง8 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก เพียงแค่เพลง Get Lucky ก็สามารถขายได้ถึง 10 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก - หลังจากนั้นในปี 2016 มีผลงานร่วมกับ The weekend ในเพลง Star Boy และ I feel it coming ถูกขึ้นเป็นเพลงฮิตอันดับ 1 ของ Billboard hot 100
ผลงานชิ้นสุดท้ายของ Daft Punk ตำนานแห่งเพลงแนวเทคโนแดนซ์
Daft Punk ได้ปล่อยผลงานส่งท้ายก่อนที่พวกเขาจะปิดตำนานนี้ลงด้วยภาพยนตร์สั้นความยาว 8 นาที “Epilogue” ที่ถูกตัดออกมาจากภาพยนตร์เรื่อง Electroma ในปี 2006 โดยไม่มีบทพูดใด ๆ สื่อถึงเรื่องราวของทั้งคู่ที่ออกเดินทางเพื่อค้นหาวิถีทางของการได้ใช้ชีวิตแบบมนุษย์
ซึ่งภาพยนตร์ส่งท้ายนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่า…แม้จะไร้การพูดคุย แต่กลับถ่ายทอดความรู้สึกของการแยกทางกันได้อย่างลึกซึ้ง แสดงถึงการที่ต้องสิ้นสุดการเดินทางร่วมกันของพวกเขาแล้ว แสงสุดท้ายก่อนจบคือปลายทางที่สิ้นสุดของคู่หูนักดนตรี ตั้งแต่ปี “1993 – 2021” เป็นการปิดตำนานแห่งประวัติศาสตร์ลง แต่ผลงานเพลงของ Daft Punk จะยังคงอยู่ในใจของแฟนเพลงตลอดกาล
“This Is Daft Punk” เพลย์ลิสต์รวมเพลง Daft Punk บน Spotify
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เช่นเดียวกันกับวงดนตรีที่ต้องสิ้นสุดการเดินทางร่วมกัน แม้จะยาวนานถึง 28 ปีอย่าง Daft Punk ก็ตาม ในขณะเดียวกันวงการเพลงบ้านเราก็มีข่าวยุติการร่วมงานกันไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นวง 25Hours, Mild, BlueShade, Mattnimare รวมถึง Seal Pillow สะเทือนใจเหล่าแฟนเพลงอย่างต่อเนื่อง ข้อคิดที่อยากฝากไว้คือ หากมีโอกาสได้ไปดูศิลปินในดวงใจ ควรไปดูซะ เราจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง เพราะนั่นเป็นหนึ่งในโอกาสที่ย้อนกลับไปไม่ได้นะครับ