ฟังก์ชันกล้องสุดล้ำจาก iPhone 11
พร้อมวิเคราะห์ช่วงเวลาที่ควรค่าแก่การซื้อ
Innovation Gadget ที่กลายเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 ของร่างกายคนเราไปแล้วในยุคนี้ คงเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจาก สมาร์ตโฟน (Smartphone) และหนึ่งในแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่ใครหลายคนถวายตัวเป็นสาวกให้กับมันไปแล้ว นั่นก็คือ Apple บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งในปัจจุบัน Apple มีชื่อเสียงด้านฮาร์ดแวร์ อุปกรณ์ไอที อย่าง iMac, MacBook, iPod, iPad, iPhone รวมถึง iTunes Store (คลังสื่อออนไลน์)
ตอนนี้เหล่าสาวก iPhone ทั้งหลายก็ต่างฮือฮาและพูดถึงสมาร์ตโฟนตัวใหม่จากค่าย Apple อย่าง iPhone 11 ด้วยเรื่องของฟังก์ชันการใช้งานที่มีลูกเล่นเพิ่มเข้ามา การดีไซน์ของตัวเครื่อง สีสันที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย และประเด็นสำคัญที่ทุกคนต่างเฝ้ารอและอาจเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยทำให้การตัดสินใจง่ายขึ้น คือเรื่องของราคา ซึ่งถ้าใครเป็นสาวก iPhone ก็มักจะเห็นพัฒนาการในเรื่องนี้ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ทุกปี เราไปสำรวจอวัยวะชิ้นที่ 33 ของร่างกายเรากันดีกว่าว่าจะมีเทคโนโลยีอะไรเข้ามาใน iPhone 11 นี้บ้าง พร้อมงัดประวัติราคาที่ลดลงของ iPhone หลังจากการเปิดตัวให้เห็นกันชัด ๆ ว่าจะต้องรอนานถึงเมื่อไหร่กว่าราคาจะสบายกระเป๋ากว่านี้
พูดถึงเรื่องระบบกล้อง iPhone11 กันก่อนเลย เป็นระบบกล้องคู่ กล้องไวด์ (Wide) ความละเอียด 12 MP เซ็นเซอร์แบบไวด์ใหม่ มี Focus Pixels 100% ช่วยให้ออโต้โฟกัสได้เร็วขึ้นสูงสุดถึง 3 เท่าในสภาวะที่มีแสงน้อย ควบคู่กับกล้องอัลตราไวด์ (Ultra Wide) ความละเอียด 12 MP เก็บภาพได้กว้างขึ้น 4 เท่า เหมาะสำหรับการถ่ายภาพ วิว ทริปท่องเที่ยว ภาพหมู่ หรือพื้นที่กว้างภายในอาคาร แต่สำหรับรุ่น Pro และ Pro Max จะเป็นระบบสามกล้อง
สำหรับ iPhone 11 ถ่ายวิดีโอระดับ 4K ที่ 60 fps (Frame Per Second) การแสดงผลของภาพมีความต่อเนื่องลื่นไหล ทำให้ได้ความสวยงามคมชัด โดยกล้องอัลตราไวด์ สามารถเก็บภาพได้กว้างขึ้น 4 เท่า เหมาะสำหรับการถ่ายช็อตแอ็คชั่น (Shot Action) หรือใช้บันทึกการแสดงสด เวลาที่ซูมเข้า เสียงก็จะซูมเข้ามาด้วย สามารถปรับแต่งวิดีโอได้ง่าย ๆ เหมือนกับการแต่งภาพถ่าย และนอกจากนี้ยังมีโหมดกลางคืน การถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อย คุณสมบัตินี้ จะทำงานเองโดยอัตโนมัติเพื่อให้ได้ภาพถ่ายในสภาวะแสงน้อยที่ออกมาดูดี ไม่ต้องพึ่งแฟลชให้เสียเวลา ได้ภาพถ่ายที่มีสีสันเป็นธรรมชาติและสว่างมากขึ้น
ระบบ HDR อัจฉริยะ รู้ว่าคนอยู่ตรงไหน และจะปรับให้เด่นขึ้น ใบหน้ามีมิติมากขึ้น และสามารถถ่ายวิดีโอได้ทันที ในขณะอยู่โหมดรูปภาพ ด้วย QuickTake เพียงกดชัตเตอร์ค้างไว้ จากนั้น ปัดไปทางขวาก็จะสามารถบันทึกวิดีโอต่อได้เลย และชิพ A13 Bionic ในการถ่ายภาพกลางแจ้ง โดยใช้การเรียนรู้ของระบบ เพื่อติดตามสิ่งที่เคลื่อนไหวได้โดยอัตโนมัติอีกด้วย
สายเซลฟี่กับ Slofie (ถ่ายเซลฟี่แบบสโลว์โมชัน) Slofie ที่ 120 fps (Frame Per Second) กล้อง TrueDepth ความละเอียด 12 MP
iPhone 11 และ iPhone 11 Pro มีชิพที่เร็วที่สุด คือ ชิพ A13 Bionic ทำงานได้อย่างไหลลื่นไม่มีสะดุด ประหยัดพลังงาน แบตเตอรี่ก็ยิ่งใช้ได้นานขึ้น
เทคโนโลยีอัลตราไวด์แบนด์ (UWB) ชิพ U1 ใหม่ ใช้เทคโนโลยีอัลตราไวด์แบนด์ในการรับรู้ตำแหน่งทำให้ iPhone 11 สามารถเข้าใจตำแหน่งของตัวเองได้อย่างแม่นยำ โดยจะเทียบกับอุปกรณ์ Apple อื่น ๆ ที่มีชิพ U1 อยู่ใกล้ ๆ หากอยากแชร์ไฟล์กับเพื่อน โดยใช้ AirDrop เพียงแค่หัน iPhone ไปทางเครื่องของเพื่อน เท่านี้รายชื่อก็จะขึ้นมาแล้ว
ตัวเครื่องประกอบด้วย จอภาพ Liquid Retina LCD ภาพสวยสมจริง
True Tone ปรับไวท์บาลานซ์ (White Balance) บนหน้าจอให้ตรงกับอุณหภูมิสีของแสงรอบ ๆ ตัว
กระจกด้านหน้าและด้านหลังได้รับการเสริมความแข็งแรง ด้วยกระบวนการแลกเปลี่ยนไอออนคู่ นอกจากนี้ยังทนน้ำ ได้ลึกถึง 2 เมตร นานสูงสุด 30 นาที (ลึกกว่า iPhone XR ถึง 2 เท่า)
มาพร้อมแบตเตอรี่ที่ชาร์จครั้งเดียวอยู่ได้ตลอดทั้งวัน ความสามารถในการชาร์จเร็ว ใช้เวลาในการชาร์จน้อยลง
มีสีให้เลือกหลากหลายถึง 6 สีด้วยกัน ทั้ง สีม่วง สีเหลือง สีเขียว สีดำ สีขาว สีแดง
ราคาของ iPhone 11 ทั้ง 3 รุ่น ในประเทศไทย
iPhone 11
64 GB : ราคา 24,900 บาท ($699)
128 GB : ราคา 26,900 บาท ($749)
256 GB : ราคา 30,900 บาท ($849)
iPhone 11 Pro
64GB : ราคา 35,900 บาท ($999)
256GB : ราคา 41,900 บาท ($1149)
512GB : ราคา 48,900 บาท ($1349)
iPhone 11 Pro Max
64GB : ราคา 39,900 บาท ($1099)
256GB : ราคา 45,900 บาท ($1249)
512GB : ราคา 52,900 บาท ($1449)
ตอนไหนที่คุณจะซื้อ iPhone 11 ได้ในราคาที่เป็นมิตรที่สุด? เรามีข้อมูลที่เป็นผลการศึกษาจากประเทศใกล้เคียงมาเป็นตัววิเคราะห์กัน
ขุดประวัติราคา iPhone ใน 4 รุ่นท็อปก่อนหน้า มาวิเคราะห์ให้ชัดว่า ต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าราคา iPhone 11 จะลดลง มาให้สบายกระเป๋ากว่านี้ โดยแบ่งช่วงเวลาที่พบราคาของ iPhone ลดลงเป็น 2 ช่วง คือ 6 เดือน และ 12 เดือน หลังเปิดตัว ทำให้พบข้อมูลที่น่าสนใจถึง 4 ข้อด้วยกัน
*ข้อมูลวิเคราะห์จาก iPrice (มาเลเซีย) แพลตฟอร์มเปรียบเทียบราคาสินค้าออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สำรวจข้อมูลจาก iPhone รุ่น Flagship มีหน่วยความจำที่ 256 GB เท่านั้น เก็บข้อมูลราคาเปิดตัวจาก Apple.com/my และเก็บข้อมูลราคาที่ลดลงของ iPhone ในระยะเวลา 6 เดือน และ 12 เดือนจากฐานข้อมูลของ iPrice ที่มี iPhone วางจำหน่ายผ่านร้านค้าออนไลน์กว่า 1,000 ร้านค้า) ผลสำรวจนี้ แปลมาจากการศึกษาข้อมูลในประเทศมาเลเซีย อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินอาจแตกต่างกันเล็กน้อยตามความผันผวนของสกุลเงิน
1.ส่วนใหญ่ราคาของ iPhone ทุกรุ่น จะเริ่มปรับราคาลงหลังจากวันเปิดตัวไปแล้ว 6 เดือน แต่มีค่าเฉลี่ยของราคาที่ลดลงเพียงเล็กน้อยโดยประมาณ 5% เท่านั้น
2.โมเดลรุ่นก่อนหน้าของ iPhone ส่วนใหญ่ราคาจะลดลงโดยเฉลี่ย 16% หลังจากเปิดตัว 12 เดือน (ตัวอย่างเช่น ตอนนี้ iPhone 11 เปิดตัว หมายความว่า iPhone XS จะมีราคาลดลงโดยเฉลี่ย 16%)
3.iPhone X เป็นรุ่นที่มีราคาลดลงมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบรุ่นอื่น เพียงระยะเวลา 6 เดือน iPhone X มีราคาลดลง โดยเฉลี่ยถึง 11% และหลังจากเปิดตัว 12 เดือน iPhone X ก็มีราคาลดลงอีกถึง 27% คาดว่าอาจเกิดจากการที่ Apple ประกาศหยุดการพัฒนา iPhone X หลังจากเปิดตัว 1 ปี โดยเปลี่ยนไปมุ่งพัฒนา iPhone XS แทน
4.ต้องรอประมาณ 3 ปี หากอยากได้ราคาของ iPhone 11 สบายกระเป๋ามากกว่าหลังจากราคาเปิดตัว จากผลสำรวจของราคาของ iPhone 7 ที่เปิดตัวไปเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งปัจจุบันมีราคาลดลงที่ 55%
คงได้คำตอบของการรอคอยนี้กันแล้ว ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนที่ราคาของ iPhone 11 จะสบายทั้งกระเป๋าและเป็นมิตรกับตัวเราเอง ซึ่งคาดว่าในอีก 6 เดือนหลังจากที่เปิดตัว iPhone 11 ราคาน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่เหล่าสาวกแอปเปิลทั้งหลายจะสามารถคว้ามาเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น อาจเป็นเพราะราคาที่คาดว่าจะลดลงโดยประมาณ 5% หรือร้านค้าตัวแทนจำหน่ายมีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าแล้ว และตามข้อมูลที่วิเคราะห์กันมา แสดงให้เห็นว่าในอีก 3 ปีให้หลังนี้ ราคาของ iPhone 11 อาจลดลงถึง 55% โดยจะมีราคาอยู่ที่หลักหมื่นกลางๆ เท่านั้นเอง ถ้าคุณรอได้ ก็เริ่มนับวันถอยหลังได้เลยล่ะ